บทความฟุตบอล : 10 ที่สุดประตูตัดสินเกมช่วงทดเจ็บ (ตอน1)

10 ที่สุดประตูตัดสินเกม

ช่วงทดเจ็บ (ตอน1)

10 ที่สุดประตูตัดสินเกมช่วงทดเจ็บ (ตอน1)

           ในเกมฟุตบอล การทำประตูที่สวยงามคือ การบันทึกความทรงจำที่น่าประทับใจ แต่มันแทบจะไร้ความหมาย หากการซัลโวนั้นไม่ได้ช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะ หรือประสบความสำเร็จในบั้นปลาย
         ประตูตัดสินเกมในเวลาปกติ 90 นาที ถือว่าสำคัญแล้ว แต่จะมีความดราม่าทวีคูณเข้าไปอีก ถ้าเป็นลูกยิงเปลี่ยนเกมในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ วันนี้เราจะพาย้อนไปรีวิวที่สุดของประตูชี้ชะตา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 90+ กัน จะมีแมตช์ไหน รายการใดบ้างนั้น ไปหาคำตอบกันเลย ดูบอลสด


10. อาร์เซน่อล - ลิเวอร์พูล (2011)





      การพบกันของ 2 บิ๊กเนมแห่งอังกฤษในศึกพรีเมียร์ลีก อาร์เซน่อล รองจ่าฝูงพบ ลิเวอร์พูล อันดับ6 ทีมปืนใหญ่ต้องการชัยชนะเพื่อไล่กดดันจ่าฝูง แมนฯ ยูไนเต็ด เกมนี้ทั้งสองทีมส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงบู๊กันเต็มสูบ รูปเกมแลกหมัดกันสนุกสูสี จบ 90 นาทียังไม่มีสกอร์ กระทั่งเข้าช่วงทดเจ็บที่เชิ้ตดำให้ถึง 8 นาที นาที 97 เจย์ สเปียร์ริ่ง เกี่ยวขา เชส ฟราเบกัส ล้มในเขตโทษ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ย์ สังหารเข้าไปไม่พลาด สาวก "กันเนอร์ส" มั่นใจเต็มที่ได้ 3 แต้มแน่นอน แต่เรื่องเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น เพราะการทดเวลายืดเยื้อถึงนาทีที่ 11 "หงส์แดง" ได้ฟรีคิก ซัวเรส เปิดเข้าเขตโทษ ลูคัส เลวา โดนเอบูเอ้เตะล้มลง กรรมการเป่าให้จุดโทษ และเป็น เดิร์ก เค้าท์ ยิงเข้าไปตีเสมอได้สำเร็จ จบเกมที่ 1-1 ผลนัดนี้ทำให้อาร์เซน่อลไปไม่ถึงแชมป์ในบั้นปลาย 

9. เรอัล มาดริด - แอต.มาดริด (2014)



     ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงดำในปี 2014 ดวลแข้งกันที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส เป็นการโคจรมาเจอกันของ 2 ทีมจากเมืองหลวงของสเปน "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด พบ "ตราหมี" แอตเลติโก้ มาดริด แน่นอนว่าทั้งคู่ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงบู๊กันแน่นอน รูปเกมสูสี เกมเดินทางถึงนาที 36 ทัพตราหมีออกนำไปก่อนจาก ดิเอโก้ โกดิน ครึ่งหลัง เรอัล มาดริด พยายามตีเสมอ แต่ไม่ประสบความสำเร็จซักที จนเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งเชิ้ตดำให้ 4 นาที และในนาทีที่ 93 ราชันชุดขาวได้เตะมุม ลูก้า โมดริช เปิดบอลเข้าหัว เซร์คิโอ้ รามอส โขดตุงตาข่าย ต่อลมหายใจให้ทีมได้สำเร็จ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที เรอัล มาดริด ซัดเพิ่มอีก 3 ประตู จบเกมชนะไปขาดลอย 4-1 คว้าแชมป์ไปครองแบบโคตรดราม่า ซิวถ้วยบิ๊กเอียร์ซีซั่น 2013-14 ได้สำเร็จ 

8. อาร์เซน่อล - เรอัล ซาราโกซ่า (1995)


     แบ็คขวาจอมแกร่งทีมชาติไอวอรี่ เกมนี้ย้อนเวลากลับไปไกลซักหน่อยในปี 1995 เป็นแมตช์ชิงดำของศึกยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ดวลแข้งกันที่ปารีส คู่ชิงคือ "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล (อังกฤษ) พบ เรอัล ซาราโกซ่า (สเปน) เกมครึ่งแรกจบที่ 0-0 ครึ่งหลังนาที 68 ฮวน เอสไนเดอร์ ของซาราโกซ่า ยิงให้ทีมออกนำ แต่มาโดนตีเสมอ 1-1 จากประตูของ จอห์น ฮาร์ทสัน จบ 90 นาทีสกอร์เท่าเดิม ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที ซึ่งเกมเกือบจะเดินทางไปถึงดวลจุดโทษแล้ว แต่ในนาที 120 ลูกยิงไกลสุดสวยระยะกว่า 40 หลาของ เนฮิม ที่ผ่านมือนายด่านทีมชาติอังกฤษอย่าง เดวิด ซีแมน เข้าไปตุงตาข่าย ก็กลายเป็นประตูชัย ทำให้ตัวแทนจากแดนกระทิงดุคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองได้สำเร็จ  

7. เชลซี - บาร์เซโลน่า (2009)



      เกมรอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2009-10 ระหว่าง "สิงห์บูลส์" เชลซี พบ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า โดยผลนัดแรกเสมอกันมา 0-0 แมตช์นี้สู้กันสนุกสูสี มีโอกาสยิงประตูกันน้อย ส่วนใหญ่จะบดกันตรงกลางสนาม และตัดเกมกันหนัก ใบเหลืองว่อน เชลซี 4 บาร์เซโลน่า 3 เกมนี้เจ้าถิ่นได้ประตูนำก่อนในนาทีที่ 9 จาก มิเคล เอสเซียง ทีมเยือนพยายามอย่างหนัดเพื่อตามตีเสมอ และได้อะเวย์โกล์เข้ารอบ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล อีกทั้งโชคร้ายครึ่งหลังนาที 66 เอริค อบิลเดา โดนใบแดงเหลือ 10 คน ความหวังยิ่งหดหายไปอีก เชลซี เข้ารอบชิงเกือบ 100% แล้ว แต่ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 92 เมสซี่ ส่งบอลให้ อิเนสต้า ซัดเต็มข้อบอลพุ่งเสียบมุมเข้าไปอย่างงามหยด แฟนบอลเจ้าบ้านอึ้งกันถ้วนหน้า เพราะไม่มีเวลาพอให้ เชลซี แก้ตัวแล้ว สุดท้ายก็จบที่ 1-1 บาร์เซโลน่า ทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศด้วยกฎประตูทีมเยือน 


6. ลิเวอร์พูล - เวสต์แฮม (2006)



      แมตช์ชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ซีซั่น 2005-06 ระหว่าง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล พบกับ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม สองทีมจากลีกสูงสุดของอังกฤษ ถือเป็นอีกหนึ่งนัดชิงดำรายการนี้ที่สนุกตื่นเต้นครบรส เวสต์แฮมนำก่อน 2-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ เจมี่ คาร์เรเกอร์ นาที 21 และ ดีน แอชตันส์ ซัดอีก 1 เม็ดนาที 28 ก่อนที่ ฌิบริล ซิสเซ่ จะตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 ในนาที 32 ครึ่งหลังผ่านไปแค่ 10 นาที กัปตันเจิด สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยิงตีเสมอให้หงส์แดง โมเมนตั้มเอนมาทางลิเวอร์พูลแล้ว แต่สถานการณ์ก็พลิกอีกครั้งเมื่อ พอล คอนเชสกี้ ซัดให้ขุนค้อนออกนำอีกครั้งเป็น 3-2 เกมดำเนินมาจะจบการแข่งขัน ช่วงทดเจ็บนาที 91 เจอร์ราร์ด ก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง วางเท้ากดระยะไกลกว่า 30 หลาเข้าไปตุงตาข่ายให้สาวก "เดอะ ค็อป" ได้เฮลั่นกลับมามีหวังอีกครั้ง สุดท้ายต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที ครบ 120 นาทีก็ยังไม่มีประตูเพิ่ม ลงเอยด้วยการดวลจุดโทษตัดสิน และก็เป็น "หงส์แดง" ที่แม่นกว่าเอาชนะไป 3-1 ซิวแชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองได้สำเร็จ  ดูบอลสด         

#ว่าน สวนไทร# 



      

ความคิดเห็น