บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)

ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)


บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)


           รางวัล "โกลเด้นบอย" ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 จากการริเริ่มของ "ตุ๊ดโต้สปอร์ต" สื่อกีฬาชื่อดังของอิตาลี ที่จะมอบรางวัลให้เหล่านักเตะดาวรุ่งที่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม ซึ่งมีเงื่อนไขต้องค้าแข้งอยู่ในทวีปยุโรปเท่านั้น
       วิธีการคัดเลือกเป็นการลงคะแนนเสียงจากสื่อมวลชนในยุโรป ที่จะโหวตเลือกกันเอง ล่าสุดมีการประกาศ 40 รายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลนี้ประจำปี 2016 ไปแล้ว เจ้าของรางวัลนี้ใน 3 ปีแรกได้แก่ ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท (2003, อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม) เวย์น รูนี่ย์ (2004, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ ลิโอเนล เมสซี่ (2005, บาร์เซโลน่า) อีก 10 ปีต่อมาจะมีใครบ้างนั้น ทีมงานเว็บดูบอลสดผ่านระบบออนไลน์มีข้อมูลมาฝากกันดังนี้ครับ  

ปี 2006 

เชส์ก ฟาเบรกัส (อาร์เซน่อล)


บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)


         เจ้าหนูเชสก์แจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ของ อาร์แซน เวงเกอร์ ได้ตั้งแต่อายุ 16 ปีเท่านั้น และอีก 3 ปีต่อมา เขาก็กลายเป็นแข้งตัวหลักของทีม ลงเล่นเคียงข้างรุ่นใหญ่ในทีมอย่าง จิลแบร์โต้ ซิลวา และ ปาทริค วิเอร่า 2 ตำนานของทีมปืนใหญ่มาโดยตลอด คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลส่วนใหญ่จะมองว่า เขาคือเด็กปั้นที่ดีที่สุดเท่าที่ตลอดชีวิตกุนซือของเวนเกอร์ เพราะฟาเบรกัสได้กลายเป็นศิษย์รักของนายใหญ่เฟร้นช์แมนทันที และหลังจากวันที่วิเอร่าตัดสินใจอำลาทีมออกไป ปลอกแขนกัปตันทีมก็เป็นของมิดฟิลด์เลือดกระทิงดุรายนี้ เขาโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมากๆ ลงสนามไปร่วม 75 นัด ก่อนจะคว้ารางวัลโกลเด้นบอยนี้มาได้อย่างน่าปราบปลื้มในวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น ดูบอลสด
          แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดของเจ้าตัวนั้น อาจเป็นการตัดสินใจอำลาทีม "ปืนใหญ่" ที่สร้างชื่อให้เขา โดยหลังจากที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 2005 เขาก็ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์อะไรอีกเลยกับอาร์เซน่อล บวกกับการที่เจ้าตัวเองต้องการกลับไปเล่นให้กับ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลนา ต้นสังกัดแรกในเส้นทางค้าแข้งของเขา สุดท้ายก็ย้ายไปร่วมทัพอาซูลกราน่าในปี 2011 และอีก 2 ปีถัดมาก็คว้าแชมป์ลาลีก้าได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าชีวิตในถิ่นคัมป์นูจะไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ เขาถูกขายต่อให้เชลซีในปี 2014 และแม้ว่าจะมีช่วงครึ่งซีซั่นแรกที่ดี แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เข้าสู่ขาลงเรื่อยมาจนปัจจุบัน

ปี 2007 

เซร์คิโอ อเกวโร่ (แอตเลติโก มาดริด)

 

บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)

      ถ้าหากคุณได้ประเดิมทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 15 แฟนบอลจะต้องคาดหวังในตัวคุณไว้สูงอย่างแน่นอน (แบบเดียวกับ เฟร็ดดี้ เอดู ที่เริ่มตั้งแต่ 14 ปี) และยิ่งถ้าหากคุณสามารถพังประตูที่อาจจะเรียกได้ว่า "สวยที่สุด" ในประวัติศาสตร์สโมสรได้ในอีก 2 ปีถัดมาละก็ คุณก็จะเป็นแบบชายคนนี้แหละ “เซร์คิโอ อเกวโร”
         เขาประเดิมสนามกับอินดิเพนเดนเต้ตั้งแต่อายุ 15 และยิงประตูสุดสวยในอีก 2 ปีถัดมา ซึ่งมันทำให้ค่าตัวของเขาพุ่งไปถึง 23 ล้านยูโร และเป็น แอตเลติโก มาดริด ที่ยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อแลกกับลายเซ็นของกองหน้ารายนี้ในปี 2006 อเกวโรข้ามน้ำข้ามทะเลมาสเปนเพื่อรับภาระที่หนักอึ้ง นั่นก็คือการมาแทนที่ของ เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าชาวสเปนที่ย้ายไปลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าแรงกดดันเหล่านั้นจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย เพราะในซีซั่นบนเวทีลาลีก้า เขาก็ยิงได้ถึง 7 ประตูจาก 11 นัดแรก แถม 1 ในนั้นคือการพังประตู รีล มาดริด คู่อริตัวฉกาจในนัดเปิดสนามอีกด้วย ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่ดาวรุ่งอาร์เจนไตน์รายนี้จะคว้ารางวัลโกลเด้นบอยไปครอง ดูบอลสด
     นับตั้งแต่นั้น เขาก็การันตียิงประตูได้เกิน 10 ลูกทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับทีมตราหมีที่เจ้าตัวยิงไปถึง 20 ประตู ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจทุ่มเงิน 38 ล้านปอนด์เพื่อดึงตัวเขาไปเล่นในแดนผู้ดี และก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง เพราะผลงานนับถึงปัจจุบัน ศูนย์หน้ารายนี้ซัลโวไปแล้ว 107 ประตูในพรีเมียร์ลีก จากการลงสนาม 154 นัด ซึ่งมันทำให้เขาเป็นดาวยิงที่ดีที่สุดในลีกได้อย่างง่ายดาย บนเงื่อนไขที่เจ้าตัวต้องอยู่ในสภาพฟิตสมบูรณ์เท่านั้น  


ปี 2008 

อันแดร์สัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)


บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)

        ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับการยกย่องให้เป็นถึง “นิวโรนัลดินโญ” สมัยที่เฉิดฉายอยู่กับเกรมิโอ ซึ่งจากฟอร์มที่น่าประทับใจนั้น ทำให้เจ้าตัวได้ย้ายมาค้าแข้งในโปรตุเกสกับ เอฟซี ปอร์โต้ ตามด้วยการย้ายไปเล่นกับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงเหล่านั้นของเจ้าตัวกลับค่อยๆจางหายไปจนกระทั่งปี 2015 ที่แอนเดอร์สันมีอันต้องอำลาทีมออกไปแบบเงียบๆ
        ในปี 2007 เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอมทุ่มเงิน 20 ล้านปอนด์ เพื่อดึงตัวเขาไปร่วมทัพ เนื่องจากประทับใจในทักษะอันยอดเยี่ยมของแข้งบราซิเลียนวัย 17 ปีรายนี้ อย่างไรก็ตาม ที่แมนเชสเตอร์ เจ้าตัวถูกปรับบทบาทในการยืนตำแหน่งไปมากพอสมควร ซึ่งมันทำให้เขาไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับตำแหน่งใหม่ได้ ส่งผลให้ฟอร์มที่สุดอันตรายของเขาหายไปจนสิ้นเชิง แถมอันแดร์สันยังต้องใช้เวลาถึง 40 นัดกับทีมผีแดง กว่าจะทำประตูแรกกับต้นสังกัดแห่งนี้ได้สำเร็จ ซึ่งในความจริงแล้วเขาเกือบจะได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในช่วงปี 2012 หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบปัญหากองกลางบาดเจ็บจำนวนมาก แต่สุดท้าย พอล สโคลส์ กองกลางคนเก่งของทีมที่ก่อนหน้านั้นแขวนสตั๊ดไปแล้วก็ตัดสินใจหวนคืนสนามอีกครั้ง ซึ่งแน่นอน นั่นหมายความว่า อันแดร์สันต้องกลับไปที่ม้านั่งสำรองตามเดิม จนกระทั่งในปี 2014 อันแดร์สันก็ถูกส่งตัวไปให้ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า ยืมตัวไปใช้งาน 1 ฤดูกาล ก่อนที่จะตัดสินใจอำลาทัพเร้ดเดวิลล์ และกลับไปค้าแข้งในบ้านเกิดอีกครั้งจนปัจจุบัน

ปี 2009  

อเล็กซานเดร ปาโต้ (เอซี มิลาน)


บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)

           “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน ยอมควักเงิน 13 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวกองหน้าดาวรุ่งรายนี้มาร่วมทีมในปี 2007  ซึ่งฤดูกาลแรกบนแดนมะกะโรนีของปาโต้ก็ไม่เลวเลย เพราะเขาสามารถทำได้ถึง 9 ประตูจากการลงสนาม 18 นัด และในซีซั่น 2010-11 ปาโต้ก็โชว์ฟอร์มสุดยอดพาทีมดังแห่งอิตาลีคว้าแชมป์เซเรีย อา ได้สำเร็จ พร้อมกับทำสถิติยิง 50 ประตูในลีกจากการลงสนาม 102 นัด 
        อย่างไรก็ตาม ฟอร์มของเขาก็มีอันต้องสะดุดลง สาาเหตุจากถูกอาการบาดเจ็บเล่นงาน โดยเริ่มจากอาการบาดเจ็บที่ต้นขา ตามด้วยที่กล้ามเนื้อซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอดย้ายไปค้าแข้งกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง แถมหลังจากนั้น เขาก็มีปัญหาที่บริเวณต้นขาอีกครั้งซึ่งคราวนี้ มันคือจุดเริ่มต้นของช่วงขาลงของกองหน้ารายนี้ในสีเสื้อมิลาน และกระทั่งในปี 2013 ปาโต้ก็ถูกขายต่อให้กับ โครินเธียนส์ ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ ซึ่งเจ้าตัวดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ดีเมื่อทำประตูได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม แต่หลังจากนั้นฟอร์มของเขาก็ไม่ได้ดีมากมายนัก แถมเขายังไปทำให้แฟนบอลผู้สนับสนุนเขาโกรธสุดๆ เมื่อเขาดันไปยิงจุดโทษแบบปาเนก้าพลาดจนทำให้ทีมตกรอบฟุตบอลถ้วยในประเทศ
        ปาโต้ตัดสินใจเก็บของออกจากถิ่นโครินเธียนส์ชั่วคราวเพื่อย้ายไปร่วมทัพคู่อริอย่าง เซา เปาโล เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่น 1 ฤดูกาลก่อนที่จะย้ายกลับมาต้นสังกัดอีกครั้ง ทว่าคราวนี้โครินเธียนส์กลับไม่อดทนต่อไป ปาโต้ถูกขายทิ้งทันที ซึ่งความจริงแล้วก็มีสโมสรจากจีนที่สนใจดึงตัวเขาไปร่วมทัพ แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธไป และก็เป็นเชลซีที่ได้ตัวเขาไปใช้งานแบบยืมตัว แต่ก็อย่างที่เห็นๆกัน เขาแทบไม่ได้โอกาสลงสนามเลย และสุดท้ายก็ต้องกลับไปบราซิลอีกครั้ง ก่อนที่ล่าสุดนี้จะเป็น "เยลโล่ซับมารีน" บียาร์เรอัล ที่ใช้งบ 3 ล้านปอนด์คว้าตัวไปร่วมทีม

ปี 2010 

มาริโอ บาโลเตลลี่ (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)


บทความฟุตบอล : ใครบ้าง!? เจ้าหนูแข้งทอง 10 ปีหลังสุด (ตอน1)


         ย้อนกลับไปเมื่อปี 2010 บาโลเตลลี่คือแข้งที่กำลังรุ่งเรืองอย่างสุดขีด โดยเขาย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกกับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมกับชื่อเสียงอันโด่งดัง หลังจากที่ยิงประตูได้ถึง 20 ลูกจากการลงสนาม 54 นัดในกัลโช่ เซเรีย อา ด้วยวัยที่ยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ นอกจากนั้นเขายังได้ติดทีมชาติชุดใหญ่ก่อนย้ายไปเล่นในอังกฤษเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากลายเป็น 1 ในดาวรุ่งฟอร์มร้อนแรงที่น่าจับตามองที่สุดของลีกสูงสุดอังกฤษ
       หลังจากที่ออกสตาร์ทแบบตะกุกตะกักเล็กน้อยกับทัพเรือใบสีฟ้า เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บและโดนแบน แต่เขาก็ยังทำประตูได้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งนั่นช่วยให้เขาเอาชนะ แจ็ค วิลเชียร์ มิดฟิลด์ของอาร์เซนอลในเวลานั้น คว้ารางวัลโกลเด้นบอยไปครองได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นฟอร์มของเขาก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย จนไม่เป็นที่ต้องการของทีมอีกต่อไป เขาจึงถูกส่งต่อไปให้ เอซี มิลาน ใช้งาน เนื่องจาก โรแบร์โต มันชินี่ กุนซือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเวลานั้นทนกับพฤติกรรมสุดแสบของเจ้าตัวไม่ไหว อย่างไรก็ตาม หลังจากใช้เวลา 2 ปีในถิ่น ซาน ซิโร่ เขาก็ถูกหมายตาอีกครั้งจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นายใหญ่ของลิเวอร์พูลในเวลานั้น ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมในที่สุด
         ทว่าช่วงเวลาในถิ่นแอนฟิลด์ของเจ้าตัวคือความล้มเหลวอย่างแท้จริง เขาไม่สามารถแจ้งเกิดด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมได้อีกครั้งกับ "หงส์แดง" ทำให้เส้นทางของเขากับยอดทีมแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์มีอันต้องยุติลง ล่าสุดเจ้าตัวตัดสินใจย้ายไปหาความท้าทายใหม่ในลีกเอิงฝรั่งเศส โดยเซ็นสัญญาค้าแข้งกับ นีซ ซึ่งจากผลงานที่เราได้รับทราบกัน ก็เป็นผลงานที่เริ่มต้นได้อย่างน่าประทับใจดูดีมีอนาคตที่สดใสเลยทีเดียว แต่ก็ต้องติดตามในระยะยาวกันต่อไป เพื่อพิสูจน์ความเป็นยอดนักเตะของเขานั่นเอง 

ว่าน สวนไทร  

ความคิดเห็น