บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1

ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช (ตอน1)


บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1


     แข้งบางคนมีของดีในตัว แต่เล่นเท่าไหร่ก็ไม่รุ่ง บางคนฟอร์มแย่จนต้องย้ายทีม แต่ก็มีจำนวนหนึ่งที่สร้างชื่อได้อีกครั้ง เมื่อต้นสังกัดเปลี่ยนตัวกุนซือคนใหม่
      เรามีข้อมูลที่น่าสนใจของ 9 นักเตะที่แนวโน้มเกือบจะหมดอนาคตกับทีมอยู่แล้ว แต่เกิดใหม่ได้อย่างเปรี้ยงปร้างเมื่อมีการเปลี่ยนมือคนคุมทีม จะมีใครบ้างนั้น ไปติดตามรายละเอียดกันเลยครับ ดูบอลสด

กาซิเมโร่

(รีล มาดริด : กุนซือ ซีเนอดีน ซีดาน)


บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1

 
          มิดฟิลด์ตัวรับชาวบราซิเลี่ยนโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นกับเซา เปาโล สโมสรในบ้านเกิด จนเข้าตา "ราชันชุดขาว" รีล มาดริด ทีมยักใหญ่ของยุโรปคว้าตัวร่วมทีมในปี 2013 การอยู่ในทีมที่มีนักเตะระดับโลกมากมายนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับแข้งโนเนมจากเเดนไกลอย่างเขา นั่นทำให้เขาถูก โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือในตอนนั้นส่งไปเล่นกับ กาสตีญ่า ทีมชุดบีของมาดริดในลีกเซกุนด้าจนจบซีซั่น และในช่วงเวลาเดียวกันกุนซือชาวโปรตุกีสก็โดนปลดออกจากตำแหน่งหลังจากจบฤดูกาลนั้น หลังจากนั้นก็ได้แต่งตั้ง คาร์โล อันเชลอตติ ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมในซีซั่นถัดมา และถึงแม้จะมีการเปลียนแปลงครั้งใหญ่ของทีม แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแลอยู่ดี กาเซมิโร่ ถูกปล่อยให้กับ เอฟซี ปอร์โต้ ยืมตัวในฤดูกาล 2014-15 และในถิ่น ดราเกา สเตเดี้ยมแห่งนี้นี่เอง ที่เขาฉายแววเจิดจรัสแบบสุดๆด้วยการลงสนามทั้งหมด 40 เกมยิงได้ 4 ประตู และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายถ้วยบิ๊กเอียร์ ก่อนจะตกรอบด้วยการพ่ายต่อ บาเยิร์น มิวนิค (ปอร์โต้ชนะก่อนในเลกแรก 3-1 ก่อนจะแพ้ในเลกที่สอง 1-6)
      หลังจากจบฤดูกาลนั้น เขากลับมายังถิ่นเบอร์นาบิวด้วยความมั่นใจอีกครั้ง โดยเริ่มได้รับโอกาสลงสนามจาก ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือคนใหม่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน ผลงานครึ่งฤดูกาลของกาเซมิโร่ถือว่าไม่โดดเด่นอะไรมากนักจนกระทั่ง ซีเนอดีน ซีดาน เข้ามาคุมทีมแทน ราฟา เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นห้องเครื่องตัวหลักในเเดนกลางร่วมกับ ลูก้า โมดริช และ โทนี่ โครส ในทันที เป็นการค้นพบตำแหน่งที่ลงตัว เขารับบทบาทคอยตัดเกมอยู่ข้างหลัง โมดริช และ โครสได้และทำได้อย่างไร้ที่ติ การเติมเต็มครั้งนี้เหมือนดั่งจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่มาดริดหาอยู่ และหลังจากจบซีซั่นที่แล้ว ราาชันชุดขาวก็คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้สำเร็จ และกาเซมิโร่ก็เป็นนักเตะที่ถูกพูดถึงอย่างมาก จากการปิดทองหลังพระ เเละทำงานหนักให้เหล่าสตาร์ดังเกมรุกของทีมผลิตสกอร์ได้อย่างสบายใจ

แฮร์รี่ เคน

(ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส : กุนซือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่)


บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1


         เขาคือลูกหม้อของทีม "ไก่เดือยทอง" มีเส้นทางที่ล้มลุกคลุกคลานมากพอสมควรกว่าจะมีวันนี้ที่กลายเป็นหัวหอกเบอร์หนึ่งของทีมและทีมชาติอังกฤษ โดยเขาเคยถูกยืมตัวถึง 4 ครั้งใน 3 ปีกับทั้ง เลย์ตัน โอเรียนท์, มิลวอลล์, นอริช ซิตี้ และ เลสเตอร์ ซิตี้ ในซีซั่น 2012-13 เขาถูก อังเดร วิลลาส โบอาส กุนซือในเวลานั้นปล่อยตัวให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ยืมและแม้จะเป็นการเล่นในระดับลีกเดอะ แชมเปี้ยนชิพ แต่เขาก็ได้ลงเล่นน้อยกว่าที่คาดหวัง จากการได้ลงสนามเพียง 13 เกม และยิงได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น หลังจากนั้นเคนก็กลับมาอยู่กับสเปอร์สอีกครั้งจากการเรียกตัวของ ทิม เชอร์วู้ด กุนซือของทีมในซีซั่น 2013-14 ทว่าเขาก็ยังได้ลงเล่นเพียง 10 เกมและยิงไป 3 ประตูเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน เชอร์วู้ด ก็ถูกปลดจากผลงานที่ย่ำแย่
     แต่ภายใต้ยุคสมัยของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่เข้ามาคุมทีมในปี 2014-15 เคน ได้รับบทบาทกองหน้าตัวเป้า และเป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่น นายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์สร้างเขี้ยวเล็บให้กับเคนใหม่ และเหมือนเขากลายเป็นคนละคนภายในช่วงเวลาแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น จากดาวยิงที่ต้องนั่งรอโอกาสลงสนามกลายเป็นคนที่ยิงประตูได้ถึง 31 ประตูจากการลงสนาม 51 นัด เท่านั้นยังไม่พอ เขายังฟอร์มฮอตต่อเนื่องในฤดูกาล 2015-16 ด้วยการพาสเปอร์สจบในอันดับ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีกด้วยการซัลโวไป 28 ประตูจากการลงสนาม 50 นัด ครองตำแหน่งดาวซัลโวของลีกเมื่อซีซั่นที่แล้วอีกด้วย 

เจมี่ วาร์ดี้

(เลสเตอร์ ซิตี้ : กุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่)



บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1

        จากแข้งที่เล่นในระดับนอกลีก ค่อยๆพัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เวลาไม่นานก้าวขึ้นมาเล่นบนลีกสุงสุดได้อย่างยอดเยี่ยมกับ "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ ซิตี้ เขาอาจไม่ใช่นักเตะที่แฟนบอลมองว่าคุ้มค่ากับงบประมาณเสริมทัพที่จำกัดของทีมในเวลานั้น (ซีซั่น 2012-13) ในความเป็นจริงผลงานของเขาช่วง 3 ปีแรกกับทีมที่มี ไนเจล เพียร์สัน เป็นกุนซือไม่ได้น่าเกลียดเลย โดยเฉพาะในฤดูกาล 2013-14 ที่เขายิงได้ถึง 16 ประตู และช่วยทีมคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดได้สำเร็จ แม้จะผลงานที่น่ายกย่องของแข้งธรรมดาๆที่ไม่ได้โด่งดังอะไร แต่มันก็เรื่องน่าประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อ วาร์ดี้ ยกระดับตัวเองได้อีกขั้นจากการเข้ามาทำทีมของกุนซือที่ชื่อ เคลาดิโอ รานิเอรี่
        เพียงปีเดียวที่ "เดอะ ทิงเกอร์แมน" เข้ามาทำทีม เฮดโค้ชชาวอิตาลีก็เปลี่ยนให้ดาวยิงรายนี้ กลายสภาพเป็นสุดยอดกองหน้าที่ทุกคนรู้จัก แท็คติกการรับลึกและเพรสซิ่งประชิดตัวตามสไตล์ฟุตบอลแดนมะกะโรนี ที่ได้ผสมผสานเข้ากับไดเร็คฟุตบอลสไตล์อังกฤษคือสูตรที่ลงตัว ซึ่งช่วยให้แข้งรายนี้ยิงได้ถึง 24 ประตูจาก 36 นัด ผลสำเร็จภาพใหญ่ที่แฟนบอลได้เห็นกันคือ ความสำเร็จแบบช็อคโลกที่ เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และอดีตแข้งนักดื่มจากทีมระดับนอกลีกรายนี้ก็ก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2016 ที่ผ่านมา และชุดปัจจุบันด้วยเช่นกัน


คริส สมอลลิ่ง

(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : กุนซือ หลุยส์ ฟาน กัล)


บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1

       เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โคตรกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าตัวแข้งรายนี้มาจากฟูแล่ม ด้วยค่าตัวกว่า 10 ล้านปอนด์ โดยตั้งใจปั้นให้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนของ ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยในยุคป๋าเฟอร์กี้ เขามักได้รับโอกาสลงสนามเสมอยามที่ทีมเจอคู่แข่งทีมเล็กๆ หรือในฟุตบอลถ้วย ทำให้เขาไม่ได้โชว์ของแจ้งเกิดได้เต็มตัวเสียที ซึ่งหลังจากที่เฟอร์กี้ประกาศวางมือไปหลังจบซีซั่น 2012-13 ก็เป็น เดวิด มอยส์ ที่เข้ามาสานงานต่อ เริ่มเปลี่ยนแปลงทีมด้วยการปล่อยกองหลังตัวหลักอย่าง เนมันย่า วิดิช ออกจากทีม และนี่เหมือนจะเป็นโอกาสดีที่สมอลลิ่งจะได้ลงสนามมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคยเป็น แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม มอยส์ เลือกที่จะใช้บริการ จอนนี่ อีแวนส์ , ฟิล โจนส์ รวมถึงตัวเก๋าอย่าง เฟอร์ดินานด์ มากกว่าที่จะใช้บริการ สมอลลิ่ง นั่นทำให้ความมั่นใจของเขาลดลงไปอย่างชัดเจน เมื่อได้โอกาสลงเล่นก็มักจะทำผิดพลาดง่ายๆอยู่เป็นประจำ
       ภายใต้ข่าวร้ายของมอยส์แต่มันกลับเป็นข่าวดีของแนวรับรายนี้ ด้วยผลงานของทีมที่ตกต่ำทำให้กุนซือชาวสก๊อตติชโดนบอร์ดบริหารปลดจากตำแหน่งก่อนจะจบฤดูกาลเสียด้วยซ้ำ หลังจากนั้น "ปีศาจแดง" ก็เริมสร้างทีมยุคใหม่ภายใต้การทำทีมของ หลุยส์ ฟาน กัล จอมปรัชญาชาวดัตช์ เขาประกาศอย่างชัดเจนว่ากองหลังตัวจริงของทีมในฤดูกาลนี้คือ สมอลลิ่งและ โจนส์ นั่นทำให้เขาดูมีความมั่นใจและเห็นพัฒนาการในตัวเขาอย่างชัดเจน แม้ในปีแรกของ "อาจารย์หลุยส์" เขาจะได้ลงสนามเป็นตัวหลักแต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดให้เห็นอยู่บ้าง แต่ในฤดูกาลต่อมานั้นมันคือการเกิดใหม่ของเขาอย่างแท้จริง นายใหญ่ดัตช์แมนสร้างแผงเกมรับโดยมี สมอลลิ่ง เป็นศูนย์กลาง จากจอมเอ๋อเหรอในปีก่อนๆ เขากลับมาเล่นได้อย่างแข็งเเกร่งและมีข้อผิดพลาดให้เห็นน้อยมากๆ จนช่วงเวลาหนึ่งยูไนเต็ดคือทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกเลยเสียด้วยซ้ำ สมอลลิ่งถูกยกย่องว่าคือกองหลังชาวอังกฤษที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในซีซั่นที่ผ่านมา นอกจากนี้เขายังพัฒนาอีกขั้นด้วยการก้าวขึ้นเป็นเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักของทีมชาติอังกฤษได้อีกด้วย ต้องยกเครดิตครั้งนี้ให้อดีตกุนซือ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีกองหลังที่แข็งแกร่งรายนี้  ดูบอลสด

แดนนี่ ดริ้งวอเตอร์

(เลสเตอร์ ซิตี้ : กุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่)


บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช ตอน1


          เขาคือลูกหม้อจากอะคาเดมี่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ไม่ได้รับโอกาสลงสนามให้ทีมชุดใหญ่เลยแม้แต่นัดเดียว พเนจรไปค้าแข้งกับหลายสโมสรตั้งแต่วัยรุ่นทั้งกับ ฮัดเดอร์ฟิลด์, คาร์ดิฟฟ์, วัตฟอร์ด และ บาร์นสลี่ย์ ด้วยสัญญายืมตัวขณะที่ยังสังกัดทีมปีศาจแดง ก่อนที่ ไนเจล เพียร์สัน จะคว้าตัวมาร่วมทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงกลางซีซั่น 2011-12 เขาได้ลงสนามในฐานะตัวจริงกำลังสำคัญของทัพ "จิ้งจอกสยาม" ตลอดการเล่นในลีกแชมป์เปี้ยนชิพ จนสุดท้ายในซีซั่น 2013-14 เลสเตอร์ก้คว้าแชมป์ลีกได้เลื่อนขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกสำเร็จ และเขาก็ติดทีมยอดเยี่ยมของลีกพระรองในปีนั้นอีกด้วย 
        แต่ปีแรกบนลีกสูงสุดของเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเพียร์สันเลือกที่จะใช้นักเตะจอมเก๋าอย่าง เอสเตบัน คัมบิอัสโซ่ ลงเล่นแทนเขาอยู่เป็นประจำ ทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามเพียง 24 นัดจากทุกรายการ แม้ต้นสังกัดจะจบซีซั่นแรกบนลีกสูงสุดด้วยการรอดตกชั้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ผลงานของดริ๊งวอเตอร์จะถูกจดจำในฐานะนักเตะตัวสำรองมากกว่า
โดยในซัมเมอร์ปี 2015 เคลาดิโอ รานิเอรี่ เข้ามารับงานคุมทีม และนั่นกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่คิดว่าเขาจะพัฒนาฝีเท้าไปได้ขนาดนี้ เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนใช้งานเขาเป็นตัวหลักของทีมอย่างไม่ลังเล และเปลี่ยนให้เขาเป็นมิดฟิลด์เชิงสูงได้แบบน่าประหลาดใจ ดริ๊งวอเตอร์ได้ประสานงานร่วมกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาร์ค อัลไบรท์ตัน และ ริยาร์ด มาห์เรซ ได้อย่างลงตัวทั้งเกมรับและรุก ผลลัพท์ก็อย่างที่ทราบกันว่า เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จแบบหักปากกาเซียนทุกสำนัก และผลงานของเขาก็ถูกพูดถึงด้วยความชื่นชมจากทั่วทุกสารทิศ แน่นอนจากคุณงามความดีที่ได้สร้างไว้ ในเวลานี้เขาคือ 1 ในแผงมิดฟิลด์ของทีมชาติอังกฤษไปแล้ว เครดิตความยอดเยี่ยมครั้งนี้ต้องยกให้ รานิเอรี่ อย่างแท้จริงแบบไร้ข้อกังขาใดๆทั้งสิ้น

ว่าน สวนไทร 


      





           

  

ความคิดเห็น