บทความฟุตบอล : ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช (ตอนจบ)

ดวงสมพงษ์! 9 แข้งเกิดใหม่หลังทีมเปลี่ยนโค้ช (ตอนจบ)



       นักเตะดังบางรายฝีเท้ายอดเยี่ยมแต่ฟอร์มไม่แจ่ม เพราะถูกควบคุมจากกุนซือที่เคมีไม่ตรงกัน แต่เมื่อทีมเปลี่ยนเฮดโค้ช ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เป็นการแจ้งเกิดอย่างยอดเยี่ยมได้อีกครั้ง 
        เราได้ติดตามข้อมูลที่น่าสนใจบางส่วนไปแล้วใน ตอนที่1 ครั้งนี้มีข้อมูลส่วนที่เหลือมาฝากกันต่อ จะมีแข้งคนใดอยู่ในโผนี้อีกบ้าง ไปดูรายละเอียดกันเลยครับ 

โฆเซ่ กาเยฆ่อน

(นาโปลี : กุนซือ ราฟาเอล เบนิเตซ)



           เขาคืออดีตแข้งดาวรุ่งของ "ราชันย์ชุดขาว" ที่ไปแจ้งเกิดเต็มตัวกับ เอสปันญ่อล จากนั้นก็ย้ายออกมาด้วยความตั้งใจสร้างอนาคตที่ดีกับต้นสังกัดเดิมอย่าง รีล มาดริด อีกครั้งในยุคของกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ เมื่อซีซั่น 2012-13 ภายใต้การลงเล่นและเเย่งชิงพื้นที่กับแข้งซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่าง กาก้า, เมซุต โอซิล, คริสเตียโน่ โรนัลโด้  และ อังเคล ดิ มาเรีย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับนักเตะท้องถิ่นที่ไม่ได้มีโปรไฟล์ดีเลิศ เขาต้องทนอยู่กับความทุกข์ไม่ใช่น้อยๆจากโอกาสการลงเล่นที่จำกัด แม้หากกางสถิติการลงสนามของกาเยฆ่อนดูเเล้วเขาจะมีโอกาสลงสนามถึง 77 นัดในระยะเวลา 2 ฤดูกาล แต่ส่วนใหญ่มันมักจะเป็นการลงสนามในช่วง 5-10 นาทีสุดท้าย และนั่นกลายเป็นเรื่องที่เขาต้องทำความเคยชินอย่างเลี่ยงไมได้
        2 ปีที่มาดริด ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้ ที่หนักกว่านั้นคือ มูรินโญ่ ยังมองข้ามเขา และพยายามหาแนวรุกที่มีดีกรีระดับท็อปมาแทนที่เขาอยู่เสมอ นั่นทำให้ ราฟาเอล เบติเนซ ที่รับงานคุมนาโปลีในเวลานั้นไม่ลังเลใจที่ซื้อตัวเขามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 10 ล้านยูโร
        ในดินแดนมะกะโรนี เขาแจ้งเกิดใหม่ได้อย่างแท้จริง จากการเป็นส่วนเกินกลายเป็นกำลังหลักของทีม เพียงซีซั่นแรกกับนาโปลี เขาฟอร์มฮอตซัดประตูไปได้มากกว่า 20 ประตู ซึ่งไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลยสำหรับผู้เล่นตำแหน่งปีก รวมถึงในฤดูกาลแรกเขายังได้ลงสนามมากถึง 52 เกมซึ่งเห็นได้ชัดว่าความไว้วางใจที่ เบนิเตซ มอบให้เขามันสำคัญขนาดไหน เขายังคงรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างดีเยี่ยมเพราะในซีซั่น 2014-15 เขาได้ลงสนามทั้งหมด 59 เกม และในฤดูกาลถัดมาเขาก็ลงสนามไปอีก 46 นัด ระยะเวลาเพียง 3 ปีกับทีม "อัซซูร่า" กาเยฆ่อน ลงสนามไปถึง 158 เกม และซัลโวได้ถึง 45 ประตูเลยทีเดียว ดูบอลสด

เวส มอร์แกน 

(เลสเตอร์ ซิตี้ : กุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่)

 



        เป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากๆที่แนวรับที่เล่นในลีกระดับล่างมาเกือบทั้งชีวิต จะสถาปนาตัวเองเป็นคีย์แมนสำคัญที่พา "จิ้งจอกสยาม" สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกแบบช็อคโลก แนวรับวัย 32 ปี อาจจะทำได้ดีในระดับหนึ่งจากการพาต้นสังกัดหนีตกชั้นสำเร็จในซีซั่น 2014-15 ภายใต้การทำทีมของ ไนเจล เพียร์สัน แต่ฟอร์มที่พีคสุดของเขาเกิดขึ้นในยุคของกุนซือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ที่เข้ามารับงานในซีซั่น 2015-16
       เขากลายเป็นกองหลังที่แข็งแกร่ง เข้าบอลแม่นยำ และเล่นลูกกลางอากาศได้อย่างไร้เทียมทาน คำชมส่วนหนึ่งต้องมอบให้กับแท็คติกของ รานิเอรี่ ที่เน้นตั้งรับต่ำและนั่นทำให้กลบจุดอ่อนเรื่องความเร็วของมอร์แกน และชูจุดแข็งขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ จากปีที่เพียร์สันทำทีมจิ้งจอกสยามเสียประตูถึง 55 ลูกแต่ทว่าในยุคของรานิเอรี่นั้นเลสเตอร์เสียประตูแค่ 36 ลูกเท่านั้นตลอดซีซั่น และเป็นทีมที่เสียประตูน้อยสุดอันดับ 3 ของลีกอีกด้วย ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ว่าเขาคือสุดยอดกองหลังของพรีเมียร์ลีกในซีซั่นก่อน เพราะผลงานการคว้าแชมป์ลีก และติดทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกคือคำตอบที่เราได้เห็นกันแล้ว


 มารูยาน เฟลไลนี่ 

(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : กุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่)

 



          แข้งรายนี้ไม่เคยขวัญใจแฟนบอลปีศาจแดงเลย ตั้วแต่ย้ายจากเอฟเวอร์ตันมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2013 ตรงกับยุคของนายใหญ่ที่ชื่อ เดวิด มอยส์ ซึ่งเป็นตัวแทนของที่ถูกเลือกจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 5 ปี และแข้งหัวฟูรายนี้คือลูกหม้อเก่าที่เขาดึงมาร่วมทีมในราคาสูงถึง 27 ล้านปอนด์เลยทีเดียว 
        มอยส์หวังจะให้เฟลไลนี่สวมวิญญาณมิดฟิลด์จอมผลิตสกอร์ เหมือนสมัยที่เขาเคยทำได้ในยูนิฟอร์มเอฟเวอร์ตัน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งคิดไว้จะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเฟลไลนี่เจอปัญหาการปรับตัวและการรับมือกับความกดดันเมื่ออยู่กับทีมที่ใหญ่กว่า เขาได้ลงสนามเพียง 16 นัดเท่านั้นสำหรับซีซั่นแรกของเขา และยิ่งกว่านั้นคือเขายิงไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนเดียวเท่านั้นที่ฟอร์มออกทะเล เพราะยูไนเต็ดในตอนนั้นฟอร์มย่ำแย่สุดๆจบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับ 7 ขณะที่ มอยส์ ก็โดนปลดจากตำแหน่งก่อนจะจบฤดูกาลเสียอีก
หลังจากนั้น หลุยส์ ฟาน กัล ก็เข้ามารับงานต่อในซัมเมอร์ถัดมา แม้เขาจะได้ลงสนามมากขึ้นกว่าเดิม (รวม 2 ฤดูกาล 45 เกม) และยิงประตูได้ทั้งหมด 7 ลูก แต่เฟลไลนี่ก็ไม่ยังไม่สามารถเเจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว เขาโดนใช้อย่างจับฉ่ายในหลายๆตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ มิดฟิลด์ตัวรุก กองหน้าตัวต่ำ และกองหน้าตัวเป้า นั่นทำให้ยังไม่มีใครกล้าฟันธงเลยว่าตำแหน่งที่ดีที่สุดของเขาในทีมคือตำแหน่งใด
             จนกระทั่งในซีซั่นใหม่นี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ถูกแต่งตั้งเป็นกุนซือ สิ่งแรกที่จอมโวชาวโปรตุกีสทำคือการโทรหาและเปิดใจคุยกับพี่ฟูอย่างตรงไปตรงมาว่า  
       "มันอาจจะเป็นไปได้ว่า ทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปเพียงแค่การโทรหาผู้เล่นคนหนึ่ง มันเป็นการโทรคุยกันแบบเป็นกันเอง ผมแค่พูดว่าลืมมันซะให้หมดสิ่งที่นายได้อ่าน(ข่าวลือว่าจะถูกขายทิ้ง) ไม่ว่ายังไงคุณจะยังอยู่กับผมแน่นอน" 
           หลังจากนั้นเฟลไลนี่ก็กลับมาท็อปฟอร์มสำหรับตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวตัดเกมอีกครั้ง จนได้รับคำชมอย่างมากจากการเป็นส่วนสำคัญให้ปีศาจเเดงคว้า 9 แต้มเต็มจากการออกสตาร์ท 3 นัดแรกของฤดูกาลนี้ แม้มันจะเป็นการเริ่มต้น แต่เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า นี่คือฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตค้าแข้งของแข้งชาวเบลเยี่ยมรายนี้ ต้องคอยติดตามกันต่อไประยะยาวว่าเขาและทีมจะประสบความสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหนในปีนี้ ดูบอลสด


แกเร็ธ เบล

(ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส : กุนซือ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์)

 



           แข้งชาวเวลส์รายนี้ คือความหวังใหม่ของสาวก "ไก่เดือยทอง" หลังจากคว้าตัวตัดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาร่วมทีมได้ในยุคของกุนซือ มาร์ติน โยล ผลงานในครึ่งซีซั่นแรกยังไม่มีอะไรโดดเด่นน่าสนใจ โดยได้โอกาสลงสนามน้อยตามสไตล์แข้งดาวรุ่ง ที่ต้องลีกทางในตัวจริงแบ็คซ้ายของทีมในเวลานั้นอย่าง เบนัวต์ อัสซู เอก็อตโต้ โอกาสลงสนามในเกมลีกจึงมีแค่ 8 เกมเท่านั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานผลงานทีมก็ย่ำแย่ และโยลก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง กุนซือเปลี่ยนมือเป็นฆวนเด้ รามอส ที่เข้ามาทำทีมแทน แม้จะได้กุนซือใหม่เเต่เบลยังคงถูกมองข้ามได้ลงสนามน้อยเช่นเคย เบลยังคงเล่นในตำแหน่งแบ็คซ้าย และลงสนามในเกมลีกทั้งหมด 16 นัดในยุคของรามอส และที่สำคัญคือเขายิงประตูไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียวในฤดูกาลนั้น
           ซีซั่นที่ 3 ของเขากับ สเปอร์ส เดินทางมาถึงด้วยการร่วมงานกับกุนซือจอมเก๋าอย่าง แฮร์รี่ เร้ดก์แน็ปป์ และหลังจากนั้นเบลก็เริ่มได้รับโอกาสลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆ และลบภาพนักเตะตัวสำรองอดทนไปได้อย่างสวยงาม "จ่าแฮร์รี่" ขยับเบลขึ้นมาเล่นสูงกว่าเดิม และตำแหน่งปีกซ้ายคือตำแหน่งใหม่ของเขาที่ทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ฟอร์มการเล่นเเละการทำประตูของเขาดีขึ้นในทุกๆปีหลังจากได้ลงเล่นในตำแหน่งใหม่ จากที่ก่อนหน้านี้ตลอด 2 ปีเขายิงได้เพียง 3 ประตูเท่านั้น แต่ในยุคของเร้ดก์แน็ปป์ เขายิงไปถึง 23 ประตูใน 2 ฤดูกาล
       ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้ตัวนักเตะเองด้วย เพราะเบลเองก็พัฒนาตัวเองขึ้นมามากโดยเฉพาะร่างกายของเขาที่ดูแข็งแกร่งขึ้น และการมอบความไว้วางใจจากเร้ดก์แน็ปป์ทำให้เขากลายเป็นแข้งดังอันดับ 1 ของทีมได้อย่างไร้ข้อกังขา เท่านั้นยังไม่พอเบลยังไม่หยุดการพัฒนาเพราะหลังจากที่จ่าแฮร์รี่โดนปลดออกจากตำแหน่งในซีซั่น 2012-13 และเป็น อังเดร วิลลาส โบอาส ที่เข้ามาทำทีม เขายังคงโชว์ฟอร์มโหดอย่างต่อเนื่อง โดยจบซีซั่นดังกล่าวด้วยผลงานลงสนามทั้งหมด 44 นัด และยิงไปถึง 26 ประตู ความร้อนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด อยู่เฉยไม่ไหวจนต้องทุ่มเงินเป็นสถิติโลกในเวลานั้นถึง 82 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในที่สุด โดยปัจจุบันเบลก็ยังคงเป็นตัวหลักอยู่กับ "ราชันย์ชุดขาว" และเป็นกำลังสำคัญให้ทัพ "มังกรแดง" ประเทศบ้านเกิดอีกด้วย 

...ว่าน สวนไทร... 


  




ความคิดเห็น