บทความฟุตบอล : ตะลึง! 10 ที่สุดแมตช์ช็อกโลกในรอบ 20 ปี (ตอนจบ)

ตะลึง! 10 ที่สุดแมตช์ช็อกโลก

ในรอบ 20 ปี (ตอน1)


ตะลึง! 10 ที่สุดแมตช์ช็อกโลกในรอบ 20 ปี (ตอนจบ)


        หลังจากได้ติดตามกันไปแล้วใน ตอนที่1 เรื่องราวของแมตช์สะเทือนอารมณ์ช็อคอารมณ์คนดูมากที่สุดในรอบ 20 ปีหลังสุดของวงการฟุตบอล  ดูบอลออนไลน์

       ในวันนี้ เราจะพาไปส่งท้ายอีก 5 นัดช็อคโลก ซึ่งมั่นใจว่า ยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลอย่างแน่นอน จะเป็นคู่ใด ทัวนาเมนต์ไหนบ้างนั้น หาคำตอบได้เลยที่นี่  

 

อันดับ5

แมนฯ ซิตี้ แพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 (ปี 2016)



       แม้ว่าในเวลานั้น เลสเตอร์ ซิตี้ จะนำเป็นจ่าฝูง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง และก็น่าจะแพ้อย่างแน่นอน เมื่อเจอกับยักษ์ใหญ่แถวหน้าของพรีเมียร์ลีกอย่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพราะยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์คือตัวเต็ง แม้ว่าจะยังตามหลัง แต่ทุกคนก็เชื่อว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์ได้ในบั้นปลาย ด้วยคุณภาพผู้เล่นดาวดังอย่าง ยาย่า ตูเร่ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ รวมถึงอีกหลายๆคนในทีม แต่ว่ามันก็ไม่เป็นแบบนั้น เพราะว่า ประตูจาก โรเบิรฺต ฮูธ, สปีดของ ริยาด มาห์เรซ และ ความยอดเยี่ยมของ เจมี่ วาร์ดี้ ทำให้ทัพ "จิ้งจอกสยาม" สามารถเอาชนะได้สำเร็จ และเป็นการต่อยอดสู่การสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกแบบช็อคโลก 


อันดับ4

ลิเวอร์พูล เสมอ เอซี มิลาน 3-3 (ปี 2005)



     นี่คือหนึ่งในแมตช์แห่งการคัมแบ็คพลิกนรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลยก็ว่าได้ ตอนที่จบครึ่งแรกที่สนาม อตาเติร์ก สเตเดี้ยม นครอิสตันบูล ไม่มีใครคิดเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะ เอซี มิลาน เป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 3-0 ด้วยฟอร์มการเล่นที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน จากนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือของ ลิเวอร์พูล ได้แก้เกมด้วยการส่ง ดีทมาร์ ฮามันน์ ลงสนามมา และจากนั้น สตีเว่น เจอร์รราร์ด ก็ยิงประตูจุดประกายความหวัง ตามด้วย วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และ ซาบี อลอนโซ่ จากนั้น เจอร์ซี่ ดูเด็ค ก็เซฟลูกยิงของ อังเดร เชฟเชนโก้ ได้ถึง 2 ครั้ง และจากนั้นก็ไม่มีอะไรจะมาหยุดการคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 5 ของทีม “หงส์แดง” ได้อีกต่อไป


อันดับ3

เกาหลีใต้ ชนะ อิตาลี 2-1 (ปี 2002)



          เกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2002 ระหว่างเจ้าภาพร่วม เกาหลีใต้ พบ อิตาลี คือหนึ่งในประเด็นพลิกล็อคที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวิล์ดคัพครั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานั้น คือการทำหน้าที่ของ บีรอน โมเรโน่ ผู้ตัดสินชาว เอกวาดอร์ ที่ตัดสินค้านสายตาหลายต่อหลายครั้ง "อิตาลี ต้องโดนเขี่ยตกรอบฟุตบอลโลกด้วยการกระทำที่น่ารังเกียจจากผู้ตัดสิน และทีมงานของเขา"​ นั่นคือหนึ่งในความเห็นจากนักข่าวของ คอร์ริเอลเล่ เดลล่า เซียร์ร่า นอกจากนี้ อาห์น จุง วาน ผู้ยิงประตูชัย ก็หมดอนาคตกับ เปรูจา ต้นสังกัดในอิตาลี เมื่อ ลูชาโน่ กาอุชชี่ ประกาศว่า เขาจะไม่ยอมจ่ายเงินให้กับคนที่ทำลายวงการฟุตบอลอิตาลีเป็นอันขาด แต่แม้ว่ากรรมการจะตัดสินผิดพลาด แต่ว่าผลการแข่งขันคือสิ่งที่ถูกต้อง และความจริงก็คือ อิตาลี ในรายการนั้นเล่นได้น่าผิดหวังไม่สมราคาตัวเต็ง ในขณะที่เกาหลีใต้ ภายใต้การคุมทัพของ กุส ฮิดดิ้งค์ ก็สร้างประวัติศาสตร์จบทัวนาเมนต์ด้วยการคว้าอันดับ 4 มาครองเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ แม้มันอาจไม่น่าภาคภูมิใจซักเท่าไหร่ก็ตาม 

อันดับ2

โปรตุเกส แพ้ กรีซ 0-1 (ปี 2004)



        ชัยชนะของ กรีซ เหนือเจ้าภาพ โปรตุเกส 2-1 ในเกมนัดเปิดสนาม สร้างเซอร์ไพร์สได้ไม่น้อย แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับการจับตามองเท่าไหร่  เพราะว่าตอนนั้นพลพรรค "ฝอยทอง" ชาติเจ้าภาพของศึกยูโร 2004 ยังไม่เข้าที่เข้าทาง และต้องใช้เวลาแก้ไขหลายจุด นักเตะของ โปรตุเกส หลายคนมาจาก เอฟซี ปอร์โต้ เจ้าของแชมป์ ยูฟ่า  แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำปีนั้น ส่วน กรีซ คือทีมที่ไม่เคยชนะเลิศในรายการระดับเมเจอร์มาก่อน ทุกคนคิดว่าพวกเขาคงได้กลับบ้านที่เอเธนส์อย่างรวดเร็ว แต่ว่า 3 สัปดาห์ให้หลัง ทั้งคู่ก็โคจรมาพบกันอีกครั้ง โปรตุเกส กำลังเข้าฝักสุดๆ เมื่อมีทั้ง หลุยส์ ฟิโก้ ​ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เดโก้ เป็นคีย์แมนสำคัญ พวกเขาตั้งเป้าจะคว้าแชมป์ในบ้านตัวเองให้ได้ ความผิดหวังนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเตรียมใจเอาไว้ แต่ลูกโขกของ อันเจลอส ชาริสเตอัส หลังเกมผ่านมา 1 ชั่วโมงก็ดับฝันทั้งหมด ทีมชาติกรีซ สร้างตำนานเทพนิยายกรีกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้สำเร็จ เป็นการหักปากกาเซียนทุกสำนักอย่างแท้จริง  


อันดับ1

บราซิล แพ้ เยอรมัน 1-7 (ปี 2014)



      อับดับหนึ่งของโผการจัดอันดับครั้งนี้ ขอยกให้แมตช์นี้ช็อคโลกที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เพราะไม่มีใครคิดว่าสกอร์ที่ออกมาจะขาดลอยเช่นนี้ กลายเป็นบอลคนละเกรด สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ทัพ "อินทรีเหล็ก" คว้าชัยชนะ  แต่พวกเขาฆาตกรรมโหดทัพ "เซเลเซา" ต่อหน้าแฟนบอลบราซิล ที่เข้ามาให้กำลังใจทีมรักกันเต็มสนาม ก่อนทัวร์นาเมนต์นี้จะเริ่ม บราซิล ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ พวกเขาวาดฝันมากมายว่า ด้วยลีลาของ เนย์มาร์, การเล่นบอลตามแบบฉบับพวกเขา และจบลงด้วยการคว้าแชมป์ต่อหน้าคนในประเทศ ส่วน เยอรมัน พวกเขาก็เป็นทีมที่ดี จากการเอาชนะ ฝรั่งเศส และ แอลจีเรีย ในรอบก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ถูกมองว่าเป็นรองบราซิล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นแมตช์อัปยศ ที่ไม่เคยมีเจ้าภาพทีมไหนมีเจอมาก่อน ยิ่งในครึ่งหลังหากว่า เยอรมัน เด็ดขาดกันมากกว่านี้ สกอร์อาจจะเป็นเลขสองหลักด้วยซ้ำ ความปราชัยย่อยยับในเกมนัดนี้ คือบทเรียนสำคัญของ บราซิล โดยเฉพาะยามที่ไม่มี เนย์มาร์ ลงสนาม โดยเกมดังกล่าวเขาไม่ได้ลงสนาม เนื่องจากอาการบาดเจ็บจากเกมกับโคลัเบียในรอบก่อนหน้า ปัจจุบัน บราซิล กำลังแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาหวังจะลบล้างความผิดหวังจากเกมนัดนี้ให้ได้ ด้วยการประสบความสำเร็จที่ในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ช่วงกลางปีหน้า ซึ่ง บราซิล ตีตั๋วเข้ารอบสุดท้ายไปแล้วเป็นทีมแรก จากการคัดเลือกทุกทวีปทั่วโลก  ดูบอลออนไลน์ 

..ว่าน สวนไทร..

ความคิดเห็น